30.12.10

FINISH IN 2010

SKETCH ON PAPER


COLOR UP


 ICE FACTORY 



TPI PASiO


EROS INOK ON TOUR LUK4


JUSCO


EROS 


LADKRABUNG LONG WALL



AT THE FRONT OF ICE FACTORY

TMC( Time Machine )


Easter EROS 

20.11.10

" ABOUT BAnksy "




ภาพ ผลงาน "Run for your lives" เมื่อแล้วเสร็จ ภายในผับ Primrose Hill pub เมื่อแล้วเสร็จ
 

ภาพ นกพิราบขาวใส่เสื้อเกราะ ถูก เล็งด้วยปืน บนผนังในเมือง เบธเลเฮม (Bethlehem) เป็นเมืองเล็ก ๆ ในแคว้นยูเดียทางตอนใต้ของอิสราเอลในปัจจุบัน


เป็น ภาพใน 1 ใน 9 ผลงาน ของ แบงค์ซี่ ทีสร้างสรรค์ขึ้นในช่วง สิงหาคม 2005 บนกำแพงเวสต์แบงก์ ในอิสราเอล เป็นรูป กำแพงเวสต์แบงก์ที่แตกออก เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามสดใส มีเด็กน้อย ถือกระป๋อง และพลั่วตักทรายเด็กเล่น ยืนอยู่ตรงกลาง หากได้ชมคลิปวีดีโอที่เขาถ่ายไว้ จะเห็นว่าด้านหลังกำแพง มี ทหารถือปืนยืนอยู่ (เสี่ยงโคตร สำหรับบริเวณ เขาอาจถูกสอยได้ทุกเวลา)


เป็น ภาพล้อเลียน ภาพยนต์เรื่อง เขย่าชีพจรเกินเดือด ( Pulp Fiction ) ของผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน(Quentin Tarantino) จากในภาพที่นักแสดงนำ จอห์น ทราโวลตร้า( John Travolta ) และ ซามูเอล แอล. แจ็คสัน( Samuel L. Jackson ) แทนที่จะถือปืน กับ เปลี่ยนเป็นถือกล้วยแทน เพื่อสื่อให้เห็นถึงหยุดใช้ความรุนแรง ภาพนี้อยู่ที่ ถนน Old Street ในกรุงลอนดอน(London) ประเทศอังกฤษ


ภาพ นี้ ถ้าดูประกอบข้อความ The mild mild west แบงค์ซี่คงต้องการจะสื่อให้เห็น นี้หรือคือ ความละมุนละม่อม ของ โลกตะวันตก ภาพนี้ปรากฏบนผนังริมถนน Croft street ในเมืองบริสตอล(Bristol)


1 ใน ภาพที่โด่งดังที่สุดของ Banksy เป็นภาพ ชู้ที่ต้องออกมาห้อยแต๋งแต่ง นอกหน้าต่างเมื่อ ผัวเขากลับมา ภาพนี้อยู่ที่เมืองบริสตอล(Bristol)


ไม่ ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร แบงค์ซี่ก็สามารถ นำผลงานของเขาไปร่วมแสดงได้อย่างลงตัว อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อย่างยิ่ง ภาพนี้เป็นภาพรถบดถนน ที่ เหมือนจะวิ่งทับ ตำรวจ จนแบนติดล้อไปเลย


ภาพ ผลงาน ของ Banksy ที่เป็นรูปของตำรวจกำลังเล็งปืน สไนเปอร์ ด้านหลังเป็น เด็กน้อยมีอาวุธในมือ ถือถุงเป่าลม ที่หมายจะตบให้ ตำรวจ ตกใจ ภาพนี้ปรากฏในเมือง บริสตอล(Bristol)


ภาพ นี้ เป็นภาพตำรวจกำลังค้นร่างกายเด็กหญิง (สังเกตไหมว่า ไม่ว่าบ้านไหน เมืองไหน ตำรวจ ก็เก่งแต่คนไม่มีทางสู้ กฎหมายมีไว้บังคับผู้อ่อนแอ เท่านั้น)


ภาพ นี้ แสดงให้เห็นว่า แบงค์ซี่ ต่อต้านกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่เข้ามาทำลายร้านค้าโชห่วย ขนาดเล็กจนพังพินาศ (ในภาพเห็นว่าเด็กชักธงที่เป็นถุงของห้าง Tesco ส่วนเด็กคนอื่นก็ยืนทำความเคารพ ) ภาพนี้ปรากฏบนผนังของร้านขายยา Savemain pharmacy ริมถนน Essex Road เมือง Islington


ภาพ นี้จะเห็นเด็กน้อยชุดแดง กำลัง กลิ้งสีเป็นข้อความว่า " ONE NATION UNDER CCTV " มุมซ้ายล่างมีตำรวจยืนถ่ายภาพ กับ หมา ซึ่งเหมือนจะสื่อว่า พบเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การเฝ้าดู ของ กล้อง CCTV ทุกหนทุกแห่ง


ภาพ นี้เป็น ผลงานที่จัดแสดงในงานผลงาน Barely Legal exhibit ผลงานนี้มีชื่อว่า " Love is in the AIR " เป็นภาพของผู้ประท้วง มีผ้าเช็ดหน้าคาดจมูก ปิดปาก เพื่อป้องกัน Gas น้ำตา ทำท่ากำลังจะขว้าง แต่แทนที่ในมือจะขว้างระเบิดขวด แต่ มันกลับกลายเป็น ช่อดอกไม้
หากเหตุการณ์เมื่อเดือน พฤศภาคม 2553 ทำไมไม่แสดงออกกันอย่างนี้บ้างนะ ผมว่าถ้าผู้ร่วมชุมนุมทุกคน รวมกันขว้างดอกไม้ใส่ทหาร ผลที่ออกมา มันอาจจะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ ของ เมืองไทย ไปอย่างสิ้นเชิง ในทุกแง่ ทุกมุม ไปตลอดกาลแน่นอน โดยส่วนตัวผมชอบภาพนี้มากมาย


รูป สาวใช้กำลัง หมก ความสกปรกเข้าหลังผนัง ทำไม บ้าน เมือง มันถึงสับสนวุ่นวาย ก็เกิดจาก พวกเราที่มักจะ ซุก ปัญหา กัน แทนที่จะแก้ไขมัน ปล่อยให้มันสะสมรอวัน ระเบิดออกมา จนไม่สามารถแก้ไขได้อีก


ภาพ นี้เป็นอีก 1 ผลงานของ Banksy และการนำเสนอผลงานนั้นยิ่งแปลกแหวกแนวอย่างยิ่ง เป็นรูปล้อเลียน แบบภาพเขียนภายในถ้ำ ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ กำลังเข็นรถไป Shopping สัตว์ป่า แบงค์ซี่นำผลงานนี้ไปซุกไว้ใน พิพิธภัณฑ์ The British Museum โดยใช้เทปกาว 2 หน้าติดไว้ที่ด้านหลังของผลงาน แล้วนำติด กับ ผนัง แบงค์ซี่เฝ้ารอ รอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าจะมีใครมาพบผลงานนี้ของเขา จนเหนื่อยใจ จนเขาต้อง Post ข้อความ บน website ส่วนตัวของเขา ถึงเรื่องราวดังกล่าว


เมื่อ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ทราบเรื่องราวจึงทำการออกค้นหาภายในพิพิธภัณฑ์ จึงพบผลงานของ แบงค์ซี่ แต่ผลงานของเขานั้นล้ำค่าเกินกว่าจะโยนทิ้งลงถังขยะ มันถูกนำไป จัดแสดง อย่างเป็นทางการใน พิพิธภัณฑ์ The British Museum ดังแสดงในภาพ(รูปในกรอบขวามือล่าง)
โดยส่วนตัวต้องยอมรับเขาได้เป็นเพียง จิตกร แต่ เขายังเป็นนักการตลาดที่ยอดเยี่ยมด้วย
หมายเหตุ การตีความรูปภาพของ Banksy ที่ต้องการจะสื่อถึงผู้ชมผลงานของเขานั้น เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ Admin DEN เนื่องจาก รูปหนึ่งรูปแทนถ้อยคำได้ นับพัน นับหมื่น แล้วเมื่อเพื่อนคิดว่า Banksy ต้องการสื่ออะไรถึงคุณ

19.11.10

สุนัขสู้ชีวิต เฟธ



               เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่จูด สปริง เฟลโลว์ และสุนัขของเธอ ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่างหมาจูกับลาบราดอร์ ตระเวนเดินสายไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อม กับถ้อยคำง่าย ๆ “เฟธเดินได้”
เจ้าเฟธ เป็นสุนัขที่เกิดวันคริสต์ มาสปี 2545 แต่ด้วยความโชคร้ายทำให้มันเกิดมามีสามขา สองขาหลังปกติ แต่   หนึ่งขาหน้านั้นพิการ จึงถูกตัดในเวลาต่อมาเป็นเหตุให้เฟธไม่อาจเดินได้ตั้งแต่เกิดแม้แต่แม่ของเฟธก็ยังไม่ต้องการมัน แต่เฟธก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่อมันได้ รับความช่วยเหลือจากรูเบน สปริงเฟลโลว์ ซึ่งตอนนั้นเขาอายุ 17 ปี และตอนนี้   อยู่ระหว่างการรับใช้ชาติในฐานะทหารบกสหรัฐ
  
จากนั้นรูเบนได้มอบเฟธให้แก่แม่ของเขา ซึ่งก็คือจูด สปริงเฟลโลว์ ครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นผู้ดูแล และเป็นคนตั้งชื่อให้ว่า เฟธ ซึ่งในภาษาอังกฤษ    มีความหมายว่าศรัทธา ตอนแรกครอบครัวสปริงเฟลโลว์ มักอุ้มเฟธเวลาไปไหนมาไหน แต่ในที่สุด จูดจึงฝึกสุนัขตัวนี้ให้เดินด้วยตัวเอง เบื้องต้นเธอให้เฟธ    อยู่บนกระดานโต้คลื่น เพื่อให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหว ต่อมาใช้พีนัทบัตเตอร์    หรือถั่วลิสงบดเคล้ากับเนยเป็นรางวัล    ล่อให้เฟธยืนและกระโดดไปรอบ ๆ ด้วยขาหลังที่เหลืออยู่ และภายหลังการฝึกบนหิมะ เฟธก็สามารถเดินได้เหมือนคน
  
dog4ทุกวันนี้ เฟธมีความคล่องตัวขึ้น สามารถเดินและวิ่งได้ตามที่ต้องการ ถึงกระนั้น เฟธยังต้องกินวิตามินและอาหารเสริมต่าง ๆ นับตั้งแต่เริ่มเดินได้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคมปี 2546 เฟธได้ไปออกรายการทอล์กโชว์ และเดินสายไปกับออสซี ออสบอร์น ร็อกสตาร์ระดับตำนานของโลก รวมทั้งได้รับการติดยศจ่ากองทัพบกแห่งสหรัฐ
  
ส่วนจูด ได้กลายเป็นนักพูดให้กำลังใจ และเขียนหนังสือไปแล้ว 2 เล่ม  ซึ่งในปีหน้า เธอกับเฟธจะเดินทางจากเมืองอาร์ดมอร์ในรัฐโอกลาโฮมาไปยังเมืองชิคาโกในรัฐอิลลินอยส์ เพื่อเขียนหนัง   สือเล่มที่ 3 ที่มีชื่อว่า เฟธ วอล์กส์    ทั้งนี้ จูดและสุนัขคู่ใจได้รับจดหมายกับอีเมลวันละไม่ต่ำกว่า 200 ฉบับ รวม   ทั้งมักไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ หลายสิบแห่งในทุกปี ตลอดจนแวะเยี่ยมโรงพยาบาลทหารผ่านศึกอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อปลอบขวัญทหารที่ได้รับ   บาดเจ็บ
  
จูดเล่าว่า เธอไม่มีวันลืมผู้หญิงคนหนึ่งจากนครนิวยอร์ก ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น เพราะเสียขาทั้งสองข้างด้วยโรคเบาหวาน ทำให้หญิงผู้นี้ซึมเศร้าและมีความหดหู่กับชีวิต แต่พอได้เห็นเฟธที่ยืนอยู่บนมุมถนน ทำให้หญิงผู้นี้มีกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป
  
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปฐานทัพสหรัฐของเฟธ ก่อให้เกิดกำลังใจอย่างสูง โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เฟธได้ไปรัฐวอชิงตัน เพื่อพบทหารราว 5,000 นายที่ฐานทัพอากาศแมคชอร์ด และที่พอร์ท เลวิส ซึ่งทหารเหล่านี้บางกลุ่มต้องเดินทางไปทำสงคราม ขณะที่บางพวกกลับจากสมรภูมิรบ
  
และเฟธไม่เคยสร้างความผิดหวัง เพราะมันเรียกรอยยิ้มให้กับทหารหาญเหล่านี้ได้ทุกครั้ง จูดกล่าวอีกว่า ในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ เฟธจะได้พบรูเบน คนที่ช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อ 7 ปีก่อน เพราะรูเบนมีกำหนดปลดประจำการและเดินทางกลับบ้านในวันที่ 1 มกราคม พร้อม กับของขวัญวันเกิดสุดโปรดให้กับเฟธ ซึ่งเป็นถั่วลิสงบดเคล้ากับเนยFaith_The_to_legged_dog
   
ปัจจุบัน จูดได้ลาออกจากการเป็นครูและวางแผนที่จะพาเฟธไปรอบโลก เพื่อสอนผู้คนว่า แม้จะไม่มีรูปร่างที่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถที่จะมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ได้ในชีวิตมักจะมีสิ่งที่เราไม่ปรารถนาอยู่เสมอ ดังนั้นการที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เพียงแค่มองชีวิตจากอีกมุมหนึ่ง และเฟธก็เป็นตัวอย่างของกำลังใจและปาฏิหาริย์ของ ชีวิตให้กับทุกคน.

    
พัฒนาการ ด้านการเดินของ เฟธ ที่ช่วงอายุต่างๆ




ไม่ว่า เฟธ จะเดินไปที่ไหนก็เป็นที่สนใจของคนทั้งเมือง ทุกคนรักมัน



หนังสือชื่อว่า With a Little Faith 



Jude Stringfellow ลาออกจากงาน เพื่อออกเดินทางไปทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความพยายาม


หนึ่งในกิจกรรมที่ เฟธ ออกไปพบกับเด็กๆ



อีกหนึ่งกิจกรรมที่ เฟธ ไปเป็นกำลังใจให้ใครอีกหลายคน ว่า อย่าท้อ

WHAT IS GRAFFITI ?



กราฟฟิตี้ (อังกฤษgraffiti) ภาพวาดที่เกิดจากการขีดเขียนไปบนผนัง เป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษากรีก grafito ซึ่งแปลว่าการเขียนภาพลงบนผนังหรือกำแพงในสมัยโบราณ โดยที่รู้จักกันทั่วไปจะมีลักษณะของการพ่น (bombing) เซ็นชื่อ หรือเป็นการเซ็นลายเซ็น โดยเริ่มต้นจากเมืองฟิลาเดลเฟียในมลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงแพร่หลายในนิวยอร์กช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 60



จากหนังสือ Freight Train Graffitti ให้คำนิยามกราฟฟิตีว่า "กราฟฟิตีถือเป็นวัฒนธรรมนอกกระแสที่เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความเป็น ขบถ ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซ่าน เป็นสุข เมื่อยามที่ศิลปินกราฟฟิตีได้ท้าทายต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามกีดกัน กำจัดกราฟฟิตีให้หมดไป"
ขณะที่ นิโคลัส แกนซ์ ผู้เขียน Graffiti World อธิบายไว้ว่า คำว่า graffitti ที่มาจาก graffitto ในภาษาอิตาลี ที่แปลว่า รอยจารึก หรือ รอยขีดข่วน อาจกล่าวได้ว่ากราฟฟิตีถือกำเนิดขึ้นบนโลกมานานแล้ว พร้อมๆ กับกำเนิดของอารยธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษรฮีโรกลิฟฟิก ภาพเขียนสีตามผนังถ้ำ ก็อาจถือว่าเป็นกราฟฟิตีได้เช่นกัน

ประเภทของกราฟฟิตี้

  • "Tag" คือการเซ็นลายเซ็นหรือนามแฝงของแต่ละคนโดยสเปรย์กระป๋อง หรือ ปากกา ส่วนมากใช้สีเดียว บางคนอาจพ่นเป็นตัวอักษรธรรมดา ขณะที่บางคนดีไซน์ให้เป็นตัวอักษรที่เกาะเกี่ยวกันจนอ่านไม่ออก เน้นให้ดูแปลกและสะดุดตา
  • "Throw-ups" คือการเขียนเร็ว ๆ ด้วยสีพื้นฐาน จำนวนน้อยสีนิยมใช้สีขาวดำ แสดงให้เห็นเส้นสายที่รวดเร็ว เป็นการเขียนตัวอักษรน้อยตัว มีเส้นตัดขอบเพื่อให้ดูมีมิติ ไม่เน้นความสวยงาม เพราะต้องทำแข่งกับเวลา
  • "Fill-in" หรือ "Piece" คือ "Throw-ups" ที่ซับซ้อนขึ้น เป็นผลงานของไรเตอร์คนเดียว เป็นการพ่นสีสเปรย์ให้เป็นภาพหรือตัวอักษรที่สวยงาม ใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์
  • "Block" หรือ "Bubble" การเขียน Tag ที่ดูมีมิติมากขึ้น ใช้สีประมาณ 3 สี หรือมากกว่านั้น
  • "Wildstyle" หรือ "Wickedstyle" เป็นสไตล์ที่ซับซ้อนขึ้น มีการเกาะเกี่ยวกันของตัวหนังสือ ลักษณะการเขียนประเภทนี้จะอ่านค่อนข้างยาก เพื่อแสดงความเหนือชั้นของการดีไซน์
  • "Blockbuster" คือ "Fill-in" ที่เขียนที่ตั้งใจเขียนทั้งผนัง
  • "Character" คือการพ่นเป็นรูปคน หรือ คาแร็กเตอร์ต่าง ๆ ไม่วาจะเป็นตัวการ์ตูน หรือเป็นภาพเสมือนจริงของดารา-นักร้องในดวงใจ หรืออาจเป็นตัวการ์ตูนที่ไรเตอร์ออกแบบเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไรเตอร์คนนั้น ๆ
  • "Production" คือ การรวมกราฟฟิตีทุกรูปแบบไว้ด้วยกัน เกิดจากการรวมที่ไรเตอร์หลายคนหรือหลายกลุ่มนัดกันสร้างผลงานร่วมกัน โดยมีธีมไปในทิศทางเดียวกันหรือสอดคล้องกัน เช่น นัดกันพ่นคาแร็กเตอร์ประจำตัวของไรเตอร์แต่ละคนหรือพ่นชื่อกลุ่ม ชื่อตัวเอง หรือเปล่าไรเตอร์อาจร่วมกันกำหนดวาระต่าง ๆ ขึ้นเอง


TENACITY


          


         บ่อยครั้งที่ชีวิตผิดพลาด..ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้น
ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์...ให้เสียใจ และพยายามจะสร้างคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอ

          ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน "ไม่ใช่ความจริง" ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย
เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างรู้ตัว

          รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้
แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ

          ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด เพราะ "เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น"
เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้...ไปไม่เป็น...เหมือนจะมองเห็นทาง
แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น

          ลองมองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน
แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต..."ยังคงมีชีวิต" แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโต งอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง

          เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้
อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย

          จงใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร
แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก

          "ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก"

          แม้ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ
หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง
และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีต เป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ...

          "ความเศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกาอาดูร แต่ข้อดีของมันคือ...สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก
เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก"

          ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน
มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน

         ขอเพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้า
จะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า…เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น

..สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป 

สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน 
ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว 
อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง 
และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ...

..กรอบใดกักขังแค่กาย แต่ใจอย่าหมายกั้นได้ 
โซ่ตรวนรัดรึงตรึงไว้  แต่ใจนั้นใฝ่เสรี..

graffiti time


ICE FACTORY AT LKB,BKK


ICE FAC.


CHALONGKRUNG



ABOUT FIGURE

SIMPSONs THE MOVIE